ในช่วงที่วิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกที่อยู่ในภาวะถดถอย แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งผู้ค้ารายใหญ่และผู้ค้ารายย่อย นอกจากภาครัฐต้องเร่งแก้ปัญหาเชิงนโยบายแล้ว ผู้ประกอบการทุกระดับก็จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
วิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกที่อยู่ในภาวะถดถอย กำลังเป็นปัญหาใหญ่ ที่รัฐบาลต้องหามาตรการรับมือ หรือปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบาย การเงิน การคลัง การลงทุนให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะผันผวน ทั้งวิกฤติพลังงาน เงินเฟ้อ คอขวดซัพพลายเชนที่ยังเป็นปัญหา
ไม่นับรวมถึงภาวะทางสังคม สภาพภูมิอากาศ ทุกปัจจัยที่ว่ามานั้น ล้วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกอย่างมหาศาลโดยเฉพาะแนวโน้มเศรษฐกิจ ที่เราเห็นสัญญาณการชะลอตัวชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ความผันผวนที่เกิดขึ้นส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วโลก ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้
จนผู้นำทั่วโลก นักการเงินการลงทุน ต่างคิดคล้ายกันว่า เราอาจต้องพบกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในสหรัฐ ยิ่งมีปัจจัยเรื่องศึกสงครามเข้ามาซ้ำเติมอีก ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย ยูเครน ที่ไม่มีวี่แววว่าจะจบลง
ประเทศไทย ไม่สามารถหลีกหนีสถานการณ์เหล่านี้ได้พ้น เพราะไทยคือหนึ่งในระบบนิเวศของโลก ทุกประเทศทั่วโลกต่างอยู่บนระบบอีโคซิสเตมเดียวกัน เรามีระบบการผลิต มีการขนส่ง เราเดินทางท่องเที่ยวไปหาสู่ระหว่างกัน เราแลกเปลี่ยนสินค้า เงินตราต่างๆ ระหว่างกัน วิกฤติเศรษฐกิจทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ เป็นวิกฤติซับไพร์ม วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ฟองสบู่ดอทคอม หรือแม้แต่วิกฤติต้มยำกุ้ง ทุกวิกฤติล้วนส่งผลกระทบถึงกันในทุกประเทศ
การปรับตัวให้ได้ในโลกยุคที่มีความผันผวนสูงแบบนี้ จึงเป็นสิ่งที่ “ต้องทำ” หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ “ขีดความสามารถทางการแข่งขัน” ของประเทศไทย ไม่ค่อยดีนัก มาจากทัศนคติในการปรับตัว ส่งผลให้อันดับของไทยในเวทีโลกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น การปรับตัวในที่นี้ต้องมองให้ครอบคลุม ทุกมิติ ทั้งส่วนบุคคล องค์กรธุรกิจ ซึ่งจะเห็นว่าเรามักเคยชินและเลือกทำแบบเดิมๆ มากกว่าลงทุนทำสิ่งใหม่
การปรับตัวในช่วงเวลานี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้นำประเทศ ผู้บริหาร ซีอีโอนักธุรกิจ พ่อค้ารายย่อยแม้แต่ปุถุชนคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดความคิดของตัวเอง ให้รับกับภาวะความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้ได้ แยกแยะระหว่างปัจจัยที่ควบคุมได้ กับปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ใช้เวลาจัดการกับปัจจัยที่ควบคุมได้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการปรับกระบวนการทำงาน มายด์เซ็ตการใช้ชีวิต ดีกว่าไปพะวงกับเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้
รวมไปถึงการต้องรับมือกับฝ่ายตรงข้ามให้ดียิ่งขึ้น เช่นบริษัทคู่แข่ง การเป็นคู่แข่งไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นศัตรูเสมอไป เพราะเมื่อไรก็ตาม ที่เขาประสบความสำเร็จ เราสามารถเรียนรู้จากเขาได้เสมอ คู่แข่งจึงเป็นครูของเราได้หากเราใจกว้างเพียงพอ ความพ่ายแพ้ที่เรามีให้เขาจึงเป็นบทเรียนสำคัญให้เราพัฒนาขึ้นได้ในอนาคต
ที่สำคัญ ต้องรู้จักจัดการกับความคิดเชิงลบ ที่เรามักโทษว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราล้มเหลว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว อาจมาจากตัวเราเองที่บริหารจัดการได้ไม่ดี การคิดเชิงลบไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาใดๆ ที่จะทำให้เรามีความรู้ความเชี่ยวชาญมากขึ้น เป็นสิ่งบั่นทอนพลังที่จะใช้ในการก้าวเดินไปข้างหน้า
Cr. bangkokbiznews